วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

news world movies

กลับมาพบกันอีกครั้งนะครับ วันนี้ก็มีสาระน่ารู้กับหนังในโลกภาพยนตร์ วันนี้ก็จะมีสาระกับพระเอกหนังไทยในอดีตที่เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จัก และภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกและต่อด้วยกับประวัติผู้กำกับไทยที่มีความสำคัญต่อวงการภาพยนตร์ไทย

พระเอกหนังไทย ที่เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จัก

พระเอกหนังไทยที่เราไม่ค่อยรู้จักกันนั้น มีความสำคัญมากต่อหนังสมัยเก่าและการแสดงของบุคคลเหล่าทำให้นักแสดงรุ่นใหม่ได้นำมาเป็นแบบอย่างได้เป็นอย่างดีทีเดียว

อดุลย์ ดุลยรัตน์
อดุลย์ ดุลยรัตน์ เจ้าของฉายา พระเอกแก้มสีชมพู เมื่อครั้งอดีต ฉายานี้ไม่ได้ออกมาแพร่หลายข้างนอก จะถูกเรียกกันแต่ในเฉพาะดารานักแสดง ผู้ที่ตั้งฉายานี้ขึ้นมาก็คือ ป้าแดง รัตนาภรณ์ อินทรกำแหงเพราะทุกครั้งที่อดุลย์อายหรือเขิน แก้มทั้งสองข้างของอดุลย์จะแดงเป็นสีชมพู เพราะเป็นคนพูดน้อยถ่อมตนแถมขี้อายเลยมักจะเห็นอดุลย์  มีแก้มสีชมพูบ่อย ๆ อดุลย์คือพระเอกที่มีผลงานแสดงมากที่สุด คือช่วง ปี พ.ศ.2500ถึง 2503

มิตร ชัยบัญชา
        เป็นพระเอกภาพยนตร์ไทยที่มีผลงานในช่วงปี พ.ศ. 2500 - 2513 ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์16 มม. มีผลงานทั้งสิ้น 266 เรื่อง  ผลงานเรื่องแรกคือเรื่อง ชาติเสือ โดยในปี พ.ศ. 2508 รับพระราชทานรางวัลดาราทอง จากภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงิน และ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้เป็นประวัติการณ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 ภาพยนตร์เรื่อง  มนต์รักลูกทุ่ง ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์  เป็นภาพยนตร์เพลงลูกทุ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก  สามารถทำรายได้มากกว่า 6 ล้านบาทและยืนโรงได้นานกว่า 6 เดือนในกรุงเทพ

ไชยา สุริยัน 

   นักแสดงเจ้าบทบาท เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทอง นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม 3 ปี ซ้อน ระหว่างปี พ.ศ. 2505-2507  เข้าสู่วงการโดยการชักนำของ สุรพงศ์ โปร่งมณี และ ศิริ ศิริจินดา แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกเรื่อง เห่าดง บทประพันธ์เรื่องแรกของ พนมเทียน คู่กับอมรา อัศวนนท์ ในปี พ.ศ. 2500  และ เป็นพระเอกคนแรกที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง 3 ปีซ้อน ในปี 2505 จากเรื่อง เรือนแพ, ปี 2506 จากเรื่อง ภูติพิศวาส คู่กับ เพชรา เชาวราษฎร์ และปี 2507 จากเรื่อง ธนูทอง คู่กับ พิศมัย วิไลยศักดิ์

 สมบัติ เมทะนี 
 สมบัติ  เมทะนี เริ่มเข้าวงการบันเทิง โดยแสดงละครทีวีเรื่อง หัวใจปรารถนา เป็นเรื่องแรกเมื่อ พ.ศ. 2503 คู่กับวิไลวรรณ วัฒนพานิช สมบัติแสดงละครทีวีอยู่ 4 เรื่องจึงหันไปแสดงภาพยนตร์ เรื่องแรกคือ รุ้งเพชร คู่กับ รัตนาภรณ์ อินทรกำแหงพ.ศ. 2504สำหรับผลงานที่โดดเด่นของสมบัติ อาทิเช่น เกียรติศักดิ์ทหารเสือ ศึกบางระจัน นอกจากจะเป็นผู้แสดงแล้ว สมบัติ ยังเคยกำกับภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น ลูกสาวกำนัน แม่แตงร่มใบ น.ส.ลูกหว้า และเป็นนักร้อง มีผลงานอัดแผ่นเสียงด้วย

กรุง ศรีวิไล
  กรุง  ศรีวิไล เข้าสู่วงการโดยการชักนำของ ประมินทร์ จารุจารัต เล่นหนังเรื่อง"ลูกยอด" เป็นเรื่องแรกคู่กับ เพชรา นางเอกสุดฮิตในยุคนั้น ในปี2514 ซึ่งเป็นช่วงที่มิตรเสียชีวิต ทำให้บรรดา ผู้สร้างหนังต่างก็พากันปั้นพระเอกใหม่กันอย่างคึกคัก และ กรุงก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น ชื่อ  กรุง ศรีวิไล เป็นชื่อพระเอกในนิยายเรื่อง ลูกยอด ของอรวรรณ ที่ถูกนำไปใช้เป็นชื่อของพระเอกใหม่ไปด้วย กรุงมีผลงานต่อมาอีกหลายเรื่อง เขาคือพระเอกหนังไทยในยุคที่เริ่มเปลี่ยนจากพระเอกหล่อ ล้ำบึก เล่นกล้ามมาเป็นพระเอก หุ่นสะโอดสะอง กรุงคือพระเอกยอดนิยมที่เล่นได้หลายบทบาท ทั้งบู๊ประเภทระเบิดภูเขา เผากระท่อม ไปจนถึงบทชีวิต บทตลกกุ๊กกิ๊ก แต่โดดเด่นที่ บทบู๊กับคาแร็คเตอร์ประเภทจอมเจ้าชู้ ขี้เล่น เจ้าสำอางค์ ที่ทำให้เขาเป็นพระเอกเจ้าเสน่ห์ ที่มีลุคที่ทันสมัยขึ้น ในยุคของกรุง เขาได้แสดงนำคู่กับนางเอกดังมากมาย เช่น เพชรา, อรัญญา, วันดี ศรีตรัง, ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์, เนาวรัตน์ ยุคตะนันท์, ธัญรัตน์ โลหะนันท์ ผลงานเด่นที่ได้รับ รางวัลตุ๊กตาทอง ดาราประกอบชาย จากเรื่อง ชู้ ผลงานกำกับของ เปี๊ยก โปสเตอร์

ยอดชาย   เมฆสุวรรณ
   เข้าสู่วงการเมื่อดาวตลก สุคนธ์ คิ้วเหลี่ยมไปพบเข้า จึงชักชวนให้มาพบกับ คุณอัมพร ประทีปเสน ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไทยและปั้นให้เป็นพระเอกหนังไทยประเดิมเรื่องแรกคือ "น้ำใจพ่อค้า" และแจ้งเกิดได้สำเร็จ เขาเป็นอีกหนึ่งที่แจ้งเกิดหลังการสูญเสียของมิตร ร่วมยุคกับ กรุง ศรีวิไล, นาท ภูวนัย, ไพโรจน์ ใจสิงห์,อุเทน บุณยงค์, สิงหา สุริยงค์
  ยอดชายเป็นพระเอกสุดฮิตที่มีนางเอกคู่ขวัญคือ ภาวนา ชนะจิต มีผลงานร่วมกันหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นแนว พ่อแง่แม่งอน กุ๊กกิ๊ก ที่ดังก็ "พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ" กลายเป็นหนังฮิตที่ถูกใจต่อมาอีกหลายครั้งทั้งหนังและทีวี รวมทั้งตกเป็นข่าวรักนอกจอกันด้วย และด้วยความสูงของเขา ทำให้เขาถูกจับคู่นางเอกที่ความสูงสูสีกันอย่าง สุภัค ลิขิตกุล นางเอกที่ก้าวมาจากเวทีนางงาม ที่ถูกตั้งฉายาว่า "นางเอกก้านยาว" ทั้งสองจับคู่กันอยู่หลายเรื่อง ทั้งยังตกเป็นข่าวรักนอกจอ กันอีกด้วย  ยอดชาย เป็นพระเอกที่มีภาพเป็นชายหนุ่มเรียบร้อย เป็นอาร์ตติสท์ เป็นนักประติมากรรม เขาเป็นคนริเริ่มที่คิดปั้น หุ่นขี้ผึ้งของนักแสดงไทยในอดีต   ปัจจุบันเขากลับมาแสดงอีกครั้งทั้งในภาพยนตร์ อาทิ"บางระจัน"และละครทีวีอีกหลายเรื่อง

ไพโรจน์   ใจสิงห์

       เข้าสู่วงการครั้งแรก ในบทพระเอกจากเรื่อง "ดวง" ของเปี๊ยก โปสเตอร์ ในปี พ.ศ. 2514 คู่กับ วนิดา อมาตยกุล มีสังข์ทอง สีใส เป็นตัวประกอบ ตามด้วย "คนสู้คน" ของวิจารณ์ ภักดีวิจิตร คู่กับ อรัญญา นามวงศ์ และชุมพร เทพพิทักษ์ "เพชรตาแมว" ของประดิษฐ์ กัลย์จาฤก คู่กับ นัยนา ชีวานันท์ "ลูกชู้" ของ มารุต คู่กับ สุทิศา พัฒนุช และ "สาวขบเผาะ" ของ เนรมิต คู่กับ ผึ้ง สุวรรณแพทย์ ในปี พ.ศ. 2515ไพโรจน์ ใจสิงห์ จัดเป็นนักแสดงคู่ขวัญกับ วันดี ศรีตรัง มีผลงานแสดงนำร่วมกันหลายเรื่อง ช่วงปี พ.ศ. 2516 ได้แก่ "ยอดสงสาร" "รัญจวนจิต" "สวรรค์เวียงพิงค์" "เหลือแต่รัก" "น้ำตานาง" ในช่วงที่ชีวิตการแสดงรุ่งเรือง จัดเป็นนักแสดงชั้นนำอันดับต้นๆ ร่วมกับ สมบัติ เมทะนี ยอดชาย เมฆสุวรรณ กรุง ศรีวิไล นาท ภูวนัย ช่วงหลังปี พ.ศ. 2517 จึงเริ่มตกลงมาเป็นพระรอง รับบทคู่กับ กรุง ศรีวิไล หรือ อุเทน บุญยงค์จากภาพยนตร์เรื่อง ดวง

จตุพล   ภูอภิรมย์
 
จตุพล ภูอภิรมย์ แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก เรื่อง ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น (2520) กำกับโดยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล โดยได้แสดงบทบาทที่เดิมสรพงศ์ ชาตรี จะเป็นผู้เล่น แต่บังเอิญไม่มีคิวแสดงว่าง จากภาพยนตร์เรื่องนี้จตุพลได้รับรางวัลตุ๊กตาเงิน ในสาขานักแสดงดาวรุ่ง    จตุพล ภูอภิรมย์ มีผลงานแสดงภาพยนตร์ประมาณ 25 เรื่อง ก่อนจะเสียชีวิตอย่างกะทันหันในปี พ.ศ. 2524 เนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยภาพยนตร์เรื่อง "เงาะป่า" กำกับโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และ เปี๊ยก โปสเตอร์ ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประจำปี พ.ศ. 2523 แต่จตุพลไม่ได้รับรางวัล เนื่องจากเสียชีวิตเสียก่อน

 อุเทน    บุญยงค์

เข้าสู่วงการเมื่อปี  เล่นหนังเรื่องแรก คือเรื่อง"เขาสมิง" คู่ภาวนา ชนะจิต สร้าง,กำกับโดย เปี๊ยก โปสเตอร์ เมื่อปี 2516 - หนังเข้าฉายช่วงวันวิปโยค 14 ต.ค.2516 จึงไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังพอมีหนังเล่นเป็นพระเอกเดี่ยวอยู่ประมาณ 2 ปี ได้จับคู่กับภาวนา หลายเรื่อง จนเกือบจะเป็นดาราคู่ขวัญ แต่บังเอิญช่วงนั้น ภาวนา เป็นนางเอกดังคู่ขวัญกับยอดชาย เมฆสุวรรณ อยู่แล้ว อุเทน จึงเหมือนกับติดขัดอะไรบางอยางอยู่เรื่อย ไม่มีผลงานที่โดดเด่นมากนัก เล่นหนังมาทั้งหมด ไม่น่าจะเกิน 50 เรื่อง ในระยะเวลา 10 ปี ปี 2517 - อุเทน ก็ไปเรื่อยๆในฐานะพระเอกดาวรุ่งดวงใหม่ มียอดชาย เมฆสุวรรณ มาแรงมากเป็นอันดับ 2 รองจาก สมบัติ เมทะนี ติดตามมาด้วย ไพโรจน์,กรุง,นาท,สรพงษ์

สรพงษ์   ชาตรี
มจ.ชาตรี เฉลิมยุคลเป็นผู้ปลุกปั้นให้แจ้งเกิดในวงการ ประเดิมด้วยการเล่นละครทีวีเรื่อง "ป่าสังคม" ก่อนที่ท่านมุ้ยจะปั้นให้เป็นพระเอกหนัง ด้วยเรื่อง "มันมากับความมืด" ในปี 2514 คู่กับ นัยนา ชีวานันท์ ที่ค่ายละโว้ภาพยนตร์หวังปั้นให้เป็นพระ-นางคู่ขวัญอีกคู่ของวงการ ที่มีผลงานคู่กันอีกในเรื่อง "เขาชื่อกานต์" ที่ทำให้ สรพงษ์ แจ้งเกิดโด่งดังในวงการ เขาเล่นคู่กับนางเอกรุ่นพี่อย่าง อรัญญา นามวงษ์, ภัทราวดี ศรีไตรรัตน์, ภาวนา ชนะจิต, เปียทิพย์ คุ้มวงศ์, มาจนถึงนางเอกร่วมรุ่นอย่าง นัยนา ชีวานันท์, เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์, จารุณี สุขสวัสดิ์, ปิยะมาศ โมนยะกุล, ทัศวรรณ เสนีย์วงศ์ เขาจับคู่ฮิตกับ 2 นางเอก ฮอทในยุคนั้นทั้ง เนาวรัตน์ - จารุณีซึ่งในช่วงนั้นมีพระเอกอีกคนที่ฮิตตามมา คือ ทูน หิรัญทรัพย์ ที่กลายเป็น 2 คู่ฮิต สรพงษ์-จารุณี, ทูน-เนาวรัตน์ ที่ฮิตสนั่นไม่แพ้กัน  สรพงษ์ ชาตรี เป็นพระเอกที่อยู่ยงคงกระพัน มีผลงานมากมายหลากหลายบทบาท เป็นหนึ่งในนักแสดงชายที่ดีที่สุด ในแง่คุณภาพการแสดงที่เขาพิสูจน์ให้เห็นจากผลงานหลายเรื่องที่กวาดรางวัลมาเป็นว่าเล่น และถึงปัจจุบันเขาก็ยังมีผลงานดีๆ ออกมาอยู่ตลอดทั้ง หนังและละคร ผลงานเด่นๆเช่น แผลเก่า, เพื่อนแพง, มือปืน, คนเลี้ยงช้าง, ชีวิตบัดซบ, สัตว์มนุษย์, เขาชื่อกานต์, อิสรภาพของ ทองพูน โคกโพ, เสียดาย, สุริโยไท  

นิรุตติ์    ศิริจรรยา

นิรุตติ์ เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการชักชวนของเทิ่ง สติเฟื่อง สู่วงการแสดงละครทีวี โดยละครเรื่องแรก คือ แสงสูรย์ รับบทพระรอง โดยมีภิญโญ ทองเจือ เป็นพระเอก คู่กับ อภันตรี ประยุทธเสนี อดีตนางสาวไทย ออกฉายทางทีวีช่อง 7 ขาว – ดำ    เริ่มรับบทพระเอกละครเรื่องแรกคือ แค่ขอบฟ้า ของศรีไทยการละคร แสดงคู่กับผาณิต กันตามระ เรื่องนี้ออกอากาศทางช่อง 3 ผลงานเรื่องต่อมาก็คือ กุลปราโมทย์ ออกอากาศทางช่อง 7 สี เรื่อง เพลงชีวิต แสดงคู่กับ           ชัชฎาภรณ์ รักษนาเวศ เรื่อง ทองประกายแสด แสดงคู่กับรัชนี จันทรังษี และผลงานละครที่สร้างชื่อเสียงและเป็นที่ติดตราตรึงใจมากที่สุด คือ บทของจะเด็ด จากเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ทางช่อง 4 บางขุนพรหม     จากนั้นได้มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกคือ ดาร์บี้ นับแต่นั้นนิรุตติ์ก็มีผลงานการแสดงออกมาอย่างต่อเนื่อง ผลงานภาพยนตร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นบทพระรอง อย่างเรื่อง ผยอง, เสาร์ห้า, คู่กรรม, ผู้กองยอดรัก และยอดรักผู้กอง, น้ำผึ้งขม, ขุนแผน ฯลฯ
    ทางด้านชีวิตส่วนตัวเคยครองคู่อยู่กับ โขมพัฒน์ อรรถยา ก่อนเลิกรากัน และต่อมาได้สมรสกับ อรวรรณ ศิริจรรยา อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กระทั่งภรรยาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อปี พ.ศ. 2540 จึงเดินทางไปอยู่ที่ซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา นาน 5 ปีก่อนจะกลับสู่ประเทศไทยและกลับมาแสดงทีวีอีกครั้งด้วยละครเรื่องแรก สุภาพบุรุษ..ลูกผู้ชาย จากการชักชวนของ ศรัณยู-หัทยา วงษ์กระจ่าง และภาพยนตร์คือ ทวิภพ ส่วนงานละครและภาพยนตร์มีตามมาอีกหลายเรื่อง มหาอุตม์, โอปปาติก, ซุ้มมือปืน, ทับตะวัน, สี่แผ่นดิน, ตามรอยพ่อ, สุดรัก สุดดวงใจ เป็นต้น

 ทูน    หิรัญทรัพย์
เริ่มเข้าสู่วงการเมื่อ พ.ศ. 2523 หลังจากกลับมาจากต่างประเทศใหม่ๆ แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก ในบทสมทบจากเรื่อง อารมณ์ และเรื่องที่สอง แก้ว ของเปี๊ยก โปสเตอร์ รับบทชายตาบอด คู่กับลินดา ค้าธัญเจริญ โดยชื่อในการแสดง เปี๊ยก โปสเตอร์ เป็นผู้ตั้งให้  ทูนเริ่มมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่องที่สาม แก้วตาพี่ เล่นเป็นชายตาบอดเช่นเดียวกับเรื่อง แก้ว คู่กับ เนาวรัตน์ ยุกตะนันทน์ และมีผลงานมากขึ้น มีผลงานแสดงคู่กับจารุณี สุขสวัสดิ์ เป็นจำนวนมาก จนนับเป็นดาราคู่ขวัญ  ในปี พ.ศ. 2527 ทูนมีผลงานร้องเพลงเป็นครั้งแรก อัลบั้ม "ผู้ชายเฉิ่มเฉิ่ม" กับค่ายโรต้า อำนวยการผลิตโดย เรวัต พุทธินันทน์, ปรัชญ์ สุวรรณศร และนิติพงษ์ ห่อนาค และมีอัลบั้มที่สอง ปี พ.ศ. 2535 "ทูน 100%" กับค่าย เอส.พี.ศุภมิตร ปัจจุบัน ทูน หิรัญทรัพย์ รับงานแสดงน้อยลง หันมาเป็นผู้ผลิตรายการเด็กป้อนสถานีโทรทัศน์ ก่อตั้งบริษัทผลิตงานบันเทิง และฝึกสอนการแสดง ชื่อ สถาบันศิลปะภาพยนตร์และบันเทิง (Film and Broadcasting Institute ชื่อย่อ FBI) และทำงานด้านสังคมร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับ และรณรงค์การปลูกป่า ผลงานแสดงเรื่องล่าสุด คือเรื่อง พันธุ์ร็อกหน้าย่น (2546) และ คำพิพากษาของมหาสมุทร (2549) กำกับโดย        เป็นเอก รัตนเรือง

 เกรียงไกร   อุณหนันท์
เข้าสู่วงการประมาณกลางปี 2524 โดย รุจน์ รณภพ นำมาเล่นบทคุณชายพจน์ ในหนังเรื่อง"ปริศนา" คู่นางเอกอันดับ 1 จารุณี สุขสวัสดิ์ หนังออกฉายต้นปี 2525 ทำเงินมากมายเหมือนกับผลงานหลายเรื่องหลังที่ผ่านมาของรุจน์ที่ผูกขาดนางเอกกับจารุณีมาตั้งแต่เรื่อง บ้านทรายทอง ปี 2522 เกรียงไกร กลายเป็นดาราคู่ขวัญกลายๆอีกคู่ของจารุณี นอกจาก สรพงษ์-ทูน แล้ว(ช่วงปี 25-27) แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหนังในค่ายไฟว์สตาร์ โด่งดังคู่กันตลอด 2 - 3 ปี พอปี 2528 เกรียงไกรเริ่มอิ่มตัวในสังกัด เพราะค่ายไฟว์สตาร์ มีดาวรุ่งมาแรงอย่าง อำพล ลำพูน มาแทน ซึ่งกำลังท็อปฮิตทั้งหนังทั้งเพลง(วงไมโคร) ไฟว์สตาร์เขาจะมีพระเอกประจำค่ายไม่ต้องง้อคิวพระเอกใหญ่ๆคิวทอง เริ่มตั้งแต่ จตุพล มาเกรียงไกร มาอำพล มาสันติสุข,ชัยรัตน์ จิตธรรม ฯลฯ เกรียงไกร เริ่มรับบทรองในหนังเรื่อง"เมียแต่ง" โดยบทพระเอกไปอยู่กับแซม ยุรนันท์ พระเอกดาวรุ่งพุ่งแรงอีกคน(มีเกือบสิบคน) นางเอกคือ จินตหรา ปี 2529 -2530 เป็นต้นไป
 เกรียงไกร ก็ตกลงมาเป็นพระรอง,ตัวรอง,ตัวร้าย เล่นหนังบู๊น้อยมาก เท่าที่นึกออกปี 2526 เรื่อง"กตัญญูประกาศิต"(เรื่องนี้เนื้อเรื่องจริงๆ พระเอกคือ ฉัตรชัย โจวเหวินฟะ เป็นตัวประกบ ส่วนเกรียงไกร เป็นตัวรอง) ปี 2530 เล่นหนังบู๊เรื่อง "พยัคฆ์สวาท 60 " สรพงษ์-นาถยา เป็นพระเอก-นางเอก เกรียงไกร เป็นผู้ร้าย

 ไพโรจน์    สังวริบุตร
เข้าวงการครั้งแรกโดยการเล่นหนังทีวี เมื่อตอนยังหนุ่มอายุได้ 20 เรื่อง “ โกมินทร์ กุมาร ” โดยเล่นเป็นยอดตัวเอกของเรื่องคือเป็น โกมินทร์ กุมาร ตอนโตซะด้วย แต่ผลงานที่สร้างชื่อเสียง ซึ่งนับว่าเป็นผลงานที่สองในวงการบันเทิง จนรู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง ต้องยกให้กับภาพยนตร์เรื่อง “ วัยอลวน ” เมื่อวัย 21 ปี งานนี้เรียกว่าชื่อของ “ เอ๋ ไพโรจน์ ” ในบท “ ตั้ม ” ก็ตกเป็นขวัญใจสาวๆไปแบบเต็มๆ หลังจากนั้นก็มีผลงานโชว์ความหล่อ เท่ห์ และความสามารถด้านการแสดงตามออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ภาพยนตร์เรื่อง คู่รัก , หงส์ทอง , สุภาพบุรุษทรนง ,ช่างร้ายเหลือ ฯลฯ ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างภาพยนตร์ของตัวเองออกมา ประ- มาณ 11-12 เรื่องด้วยกัน ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด(กับงานวงการบันเทิง) คือ คนละวัยอลวน เล่นคู่กับ นิออน อิศรา

สันติสุข    พรหมศิริ

เข้าสู่วงการบันเทิงได้ด้วยการเป็นประธานชมรมการแสดงขณะเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์และละครเวทีอยู่ 3 - 4 เรื่อง จนได้รับรางวัลตุ๊กตาเงินดาราดาวรุ่งยอดเยี่ยม แต่ไม่ประสบความสำเร็จในด้านชื่อเสียงเท่าไหร่นัก จนกระทั่งได้มาแสดงภาพยนตร์เรื่อง " บุญชูผู้น่ารัก " ในปี พ.ศ. 2531 คู่กับจินตหรา สุขพัฒน์ ภายใต้การกำกับของบัณฑิต ฤทธิ์ถกล ด้วยบทของ บุญชู เด็กหนุ่มใสซื่อจากสุพรรณบุรีที่เข้ากรุง ฯ มาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ก็ทำให้สันติสุขได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิงทันที โดยเป็นดาราคู่ขวัญกับจินตรา   สุขพัฒน์ ซึ่งต่อมาทั้งคู่ได้ร่วมแสดงกันอีกหลายต่อหลายเรื่องทั้งภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ และกล่าวกันว่า สันติสุข เป็นดาราคู่บารมีของผู้กำกับบัณฑิต ฤทธิ์ถกล และจากความสำเร็จของ   บุญชู ผู้น่ารัก ทำให้มีภาคต่อของภาพยนตร์ชุดนี้ต่อมาอีก 5 ภาค โดยในภาคสุดท้ายใช้ชื่อว่า บุญชูรักเธอเสมอ ในปี พ.ศ. 2538
  แต่ผลงานทางด้านละครโทรทัศน์ กล่าวกันว่า ไม่ประสบความสำเร็จเท่าภาพยนตร์ จนกระทั่งได้มารับบท จะเด็ด ในเรื่อง " ผู้ชนะสิบทิศ " ทางช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2532 จากนั้นในปี พ.ศ. 2538 สันติสุขได้พลิกบทบาทมารับบทร้ายเป็นครั้งแรกจากละครเรื่อง " เลือดเข้าตา " ทางช่อง 5 ด้วยการรับบท สารวัตรก้อนเส้า ประกบคู่กับจักรกฤษณ์ อำมะรัตน์

ฉัตรชัย    เปล่งพานิช

       ฉัตรชัย เข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรก จากการชักชวนของเพิ่มพล เชยอรุณ โดยแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง " ระย้า " ในปี พ.ศ. 2524 และก็มีผลงานออกมาเรื่อย ๆ แต่ละครที่ส่งให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่ว คือ " ตี๋ใหญ่ " ในปี พ.ศ. 2528 ผลงานละครที่เด่น ๆ เช่น " สารวัตรเถื่อน ", " แต่ปางก่อน ", " ปริศนา " ในปี พ.ศ. 2530 " สี่แผ่นดิน " ในปี พ.ศ. 2534 เป็นต้น ดาราคู่ขวัญในการแสดงละครคือ จินตหรา สุขพัฒน์

ลิขิต    เอกมงคล

เข้าวงการแสดงโดยเป็นหนุ่มแพรว ประจำปี 2527 เริ่มอาชีพจากการเป็นนายแบบ จากนั้นคิด สุวรรณศร ชักชวนมาเล่นภาพยนตร์เรื่องแรกคือ "ปล.ผมรักคุณ" คู่ อรพรรณ พานทอง เมื่อปลายปี 2526 หลังจากนั้นก็ได้เล่นหนังมาเรื่อยๆ ในเครือสหมงคลฟิล์ม เช่น เพลิงพิศวาส,ฉันผู้ชาย(นะยะ)ฯ ต่อมาก็เริ่มซาลง รับบทรองหลายเรื่องเช่น สะใภ้(พระรอง),ฟ้าสีทอง(ผู้ร้าย)
ช่วงที่พอมีเวลาว่างบ้างก็หันไปเล่นการเมือง เป็น สจ.อ่างทอง พอปี 2529-30 หันไปเล่นละครเรื่องแรกคือ"จำเลยรัก" คู่กับสาวิตรี สามิภักดิ์ เป็นละครที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ปลายปี 2530 ได้รับตุ๊กตาทองดารานำชายจากเรื่อง"ครั้งเดียวก็เกินพอ" จึงหันกลับมาเล่นละครและหนัง ผลงานละครอย่างเช่น ร้ายก็รัก(คู่พิม มาช่า),เชลยศักดิ์(พบจินตหราครั้งแรกและครั้งเดียว) ส่วนใหญ่เป็นละครของช่อง 7 ไปเล่นให้ช่องอื่น ก็มีเรื่อง ท่าฉลอม ของวิทยา สุขดำรงค์(ช่อง 11) และยังมีอีกหลายเรื่องเช่น นางทาส,สารวัตรใหญ่(กันตนา) ทางด้านผลงานภาพยนตร์เช่น ช่างมันฉันไม่แคร์,ฉันรักผัวเขา,อุบัติโหด,หัวใจห้องที่ 5,แม่เบี้ย
 นอกจากนี้ได้รับตุ๊กตาทองดารานำชายเป็นตัวที่ 2 จากเรื่อง "ขยี้" ปลายปี พ.ศ. 2534 โดยรับร่วมกับสามารถ พยัคฆ์อรุณ เป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ดารานำชายมี 2 คนและจากเรื่องเดียวกันและหนังเรื่องนี้ก็ยังไม่เคยเข้าฉายในโรง ในช่วงที่ภาพยนตร์ไทยเริ่มซบเซา จึงหันมาเล่นหนังบู๊ภูธรเกรดบี ต่อมาบทบาททางการการแสดงก็ยุติลงไปเนื่องจากมีปัญหาเรื่องตา และประกาศออกมาว่าจะไม่ออกรายการทีวีไหน ละครล่าสุดเมื่อหลายปีก่อน ก็เห็นมีเรื่อง กิ่งไผ่,เพชรตัดเพชร,ชาติมังกร,ขุมทรัพย์แม่น้ำแคว,นางฟ้าอีดิน  เพลิงอารมณ์ มายาเพชฌฆาต แม่นาคคืนชีพ  แม่เบี้ย

 อำพล    ลำพูน

         อำพล ลำพูนเข้าวงการโดยเป็นนักแสดงในสังกัดของ ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น โดยการชักชวนของผู้กำกับชื่อดัง เปี๊ยก โปสเตอร์ ภาพยนตร์เรื่อง วัยระเริง เมื่อปี พ.ศ. 2527 คู่กับวรรษมน วัฒวโรดม ต่อมาในปีเดียวกันอำพล ลำพูน ก็ได้รับบทน้ำพุ ในภาพยนตร์เรื่อง น้ำพุ คู่กับนางเอกคนเดิม และได้แสดงร่วมกับเรวัต พุทธินันทน์และภัทราวดี มีชูธน กำกับโดย ยุทธนา มุกดาสนิทและภาพยนตร์เรื่องนี้อำพลได้รางวัลตุ๊กตาทอง สาขาดารานำชายยอดเยี่ยม และรางวัลสุพรรณหงส์จากการประกวด ภาพยนตร์เอเชีย-แปซิฟิคจาก ภาพยนตร์เรื่องน้ำพุ ในปี 2527
 ภาพยนตร์เรื่องที่สาม ข้างหลังภาพ จากบทประพันธ์ของศรีบูรพา กำกับโดยเปี๊ยก โปสเตอร์ นางเอก คือ นาถตยา แดงบุหงา นอกจากนี้อำพล ลำพูนยังแสดงภาพยนตร์เรื่อง ต้องปล้น , พันธุ์หมาบ้า , ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม , คู่ชื่นวัยหวาน , สองพี่น้อง , หัวใจเดียวกัน , แรงเงา , ไฟริษยา , ดีแตก , รู้แล้วหน่าว่ารัก ฯลฯ โดยส่วนใหญ่จะเล่นคู่กับพระเอกรุ่นเดียวกัน คือ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง นอกจากนี้ยังเล่นกับจินตหรา สุขพัฒน์หลายเรื่องด้วย

บิลลี่    โอแกน
บิลลี่ โอแกน เข้าสู่วงการบันเทิงโดยใช้ชื่อในการแสดงว่า “จิตต์ จิตนุกูล” เริ่มต้นจากการเป็นนายแบบ ถ่ายโฆษณา และตัวประกอบในภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องในปี พ.ศ. 2528 บิลลี่ได้รับบทนำในภาพยนตร์ของค่าย ไท เอนเตอร์เทนเมนต์  เรื่อง “ซึมน้อยหน่อย...กะล่อนมากหน่อย” ในปี พ.ศ. 2529 และเรื่อง “ปลื้ม” ในปี พ.ศ. 2530 คู่กับ เพ็ญพิสุทธิ์ คงสมุทร ทั้ง 2 เรื่องประสบความสำเร็จอย่างสูง หลังจากนั้น บิลลี่ก็มีงานภาพยนตร์ออกมาต่อเนื่อง  บิลลี่เข้าร่วมงานกับ  แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ในฐานะพิธีกรรายการ และออกผลงานเพลงแรก“บิลลี่ บิลลี่” ในแนวป๊อป ในปี พ.ศ. 2530 และชุดที่ 2 “บิลลี่เข้ม” ในแนวร็อก ในปีต่อมา บิลลี่ได้มีผลงานอัลบั้มออกมาแล้วจนถึงปัจจุบัน 10 อัลบั้ม

ประวัติภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกของสยาม

คนไทยเรามักจะไม่ค่อยรู้ว่ามีหนังของไทยเรื่องแรกเลยที่ถ่ายทำในประเทศของเรา เป็นหนังไทยที่คนไทยควรเก็บรักษาไว้ เพื่อให้คนรุ่นต่อๆไป
นางสาวสุวรรณ

นางสาวสุวรรณ (อังกฤษMiss Suwanna of Siam) เป็นภาพยนตร์ใบ้ แนวรักใคร่ ค.ศ.1923 ขนาดสามสิบห้ามิลลิเมตร ความยาวแปดม้วน เขียนบทและกำกับโดย เฮนรี แม็กเร (Henry MacRae)
เป็นเรื่องแรกที่ถ่ายทำในประเทศสยาม (ต่อมาคือ ประเทศไทย) โดยฮอลลีวูด ที่ใช้นักแสดงชาวสยามทั้งหมด เริ่มถ่ายทำเมื่อต้นเดือนมีนาคมและสร้างเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน ในปี พ.ศ. 2465
ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1923 ในจังหวัดนครศรีธรรมราช และได้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาด้วย ใช้ชื่อว่า "Kingdom of Heaven"
เข้ามาฉายในประเทศไทยได้เพียง 3 วัน ฟิล์มต้นฉบับก็สูญหาย นับเป็นโชคร้ายที่ปัจจุบันไม่เหลือสิ่งใดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกเลย นอกจากวัสดุประชาสัมพันธ์และของชำร่วยเล็ก ๆ น้อย ซึ่งรักษาไว้ที่ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)
เรื่องย่อ
ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ "กล้าหาญ" มีรูปร่างหน้าตางดงาม เป็นข้าราชการในหอพระสมุดประจำพระนคร และพักอาศัยอยู่กับบิดาและมารดาซึ่งเขาเรียก "พ่อเย็น" กับ "แม่มะลิ" ตามลำดับ
วันหนึ่ง กล้าหาญและบิดาแจวเรือออกจากคลองบางหลวง ไปตามลำน้ำเจ้าพระยา ถึงหน้าวัดราชาธิวาส ก็เห็นสตรีผู้หนึ่งตกน้ำ เธอชื่อ "สุวรรณ" เป็นบุตรของ "คุณวณิช" กล้าหาญจึงกระโดดลงไปช่วยเอาขึ้นมาได้ นับแต่ได้เห็นหน้าเธอ กล้าหาญก็หลงรักเธอ ขณะเดียวกันเขาก็มีคู่แข่ง คือ "กรองแก้ว" ซึ่งหวังแต่งงานกับสุวรรณเช่นกัน
สุวรรณต้องเผชิญโชคดีและคราวเคราะห์ต่าง ๆ รวมถึงการขัดขวางของบิดา จนที่สุดก็พบคู่ชีวิต
นักแสดง

ผู้สร้าง
  • เฮนรี แม็กเร (Henry MacRae) - ผู้กำกับ
  • รอเบิร์ต เคอร์ (Robert Kerr) - (ผู้ช่วยผู้กำกับ), ใน ค.ศ. 1928 เขากลับมาที่ประเทศสยาม เพื่อกำกับภาพยนตร์ของเขาเอง ชื่อ "เดอะไวต์โรส" ("The White Rose") และออกฉายในกรุงเทพฯ ราวเดือนกันยายน ปีนั้น
  • ดาล คลอว์ซัน (Dal Clawson) - ช่างภาพ
งานสร้าง
ปี พ.ศ. 2465 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีกลุ่มนักสร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกันจากบริษัทยูนิเวอร์ซัล เฮนรี แมกเร เดินทางมาขอพระบรมราชานุญาตถ่ายภาพยนตร์เรื่อง นางสาวสุวรรณ ซึ่งเป็นนิยายรักของชาวสยามและใช้คนไทยแสดงตลอดเรื่อง พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวให้กรมรถไฟหลวงให้ความร่วมมือในการถ่ายทำ โดยมีผู้แสดงสำคัญในหนังเรื่องนี้ได้แก่ นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร นางรำในกรมมหรสพหลวง แสดงเป็น นางสาวสุวรรณ, ขุมรามภรตศาสตร์ (ยม มงคลนัฎ) ตัวโขนพระรามของกรมศิลปากร แสดงเป็น นายกล้าหาญ ตัวพระเอก และ หลวงภรตกรรรมโกศล (มงคล สุมนนัฎ) สมุหบาญชี แสดงเป็น นายกองแก้ว ซึ่งเป็นตัวโกง
สถานที่ถ่ายทำนอกจากในกรุงเทพฯแล้ว ยังเดินทางไปที่หัวหิน เพื่ออวดสถานที่ตากอากาศของกรุงสยามและที่เชียงใหม่อีกแห่ง เพื่อแสดงภาพการทำป่าไม้ แต่ในระหว่างถ่ายทำ มีข่าวว่าเฮนรี แมกเรไปถ่ายฉากประหารชีวิตด้วยการตัดคอที่ เชียงใหม่ เนื่องจากตามเนื้อเรื่อง พระเอกถูกใส่ร้ายจนเกือบโดนประหารชีวิต แต่นางเอกมาช่วยทัน เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปจึงมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจพิจารณาก่อนฉาย และให้ตัดฉากประหารชีวิตออก ภาพยนตร์เรื่องนี้ นำไปสู่กลไกการควบคุมการสร้างภาพยนตร์ในเวลาต่อมา
เมื่อฉายที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร รอบปฐมทัศน์ บริษัทสยามภาพยนตร์ ได้ขออนุญาตจากกรมรถไฟ เพื่อขอเก็บเงินบำรุงสภากาชาดไทย
การออกฉาย
"นางสาวสุวรรณ" เป็นภาพยนตร์ใบ้ ขนาดแปดหลอด (eight-reel) ออกฉายครั้งแรกในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1923 ที่โรงภาพยนตร์ในจังหวัดนครศรีธรรมราช วันรุ่งขึ้น เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์พัฒนาการ, หอภาพยนตร์ฮ่องกง และโรงภาพยนตร์วิกตอเรีย หนังสือพิมพ์ "บางกอกเดลีเมล์" ฉบับวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1923 รายงานข่าวว่า
"คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ผู้ชมต่างพากันไปทัศนาภาพยนตร์ "นางสาวสยาม" และช่วยเหลือสภากาชาดไทยโดยบังเอิญไปในคราวเดียวกัน เนื่องด้วยคณะผู้จัดสร้างมีความกรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ในอันที่จะบริจาครายได้ทั้งหมดให้แก่สถาบันอันประเสริฐแห่งนี้ กรมหลวงนครราชสีมาก็เสด็จเข้าชมที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร ซึ่งมีการจัดฉายอย่างดีเลิศ แน่นอนว่าความสนใจอันมหาศาลย่อมพุ่งตรงไปที่ภาพยนตร์ท้องถิ่นเรื่อง "นางสาวสยาม" ซึ่งคุณเฮนรี แม็กเร, คุณรอเบิร์ต เคอร์ และคุณดาล คลอว์ซัน ได้ดำเนินงานสร้างขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ภาพยนตร์นี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษประหนึ่งเป็นสิ่งมโหฬารสิ่งแรกที่ทำกันในประเทศนี้ และภาพยนตร์ดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อขายฉากหลังอันประกอบด้วยภูมิประเทศนานัปการ กล่าวคือ ขายทัศนียภาพของประเทศ โดยเอาเรื่องราวของสุวรรณมานำเสนอผ่านฉากเหล่านี้ทั้งหมด อย่างที่ชอบทำกันในอุปรากร ส่วนเนื้อเรื่องนั้น ก็มีลักษณะเด่นอันจำเป็น ๆ พร้อมสรรพ คือ เรื่องประโลมโลก, ความรัก, ความชัง, ความแค้น, ผู้บริสุทธิ์ที่เคราะห์ร้าย, การกล่าวหาเท็จ, การฆ่าฟัน ฯลฯ ฯลฯ แล้วไปปิดท้ายอย่างเหมาะเจาะและงดงามด้วยฉากที่ผู้พลัดพรากจากกันนานได้กลับสู่เหย้าเดิมแล้วคู่รักก็เดินจูงมือกันไปสู่อนาคตอันสดใส ทั้งหมดนี้เดินทางผ่านฉากอันเป็นชีวิตจริง ตั้งแต่ภาพกรมพระยาดำรงราชานุภาพและพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตรประทับนั่ง "รับการเฝ้าตามธรรมเนียม" ไปจนถึงฉาก "ช้างหัตถี", ฉากสนามกอล์ฟที่หัวหิน, พิธีแรกนาขวัญ, เพลิงไหม้พระนคร และแห่ล้อมด้วยหมู่พระที่นั่งและวัดวาอาราม กลายเป็นการโฆษณาชั้นเลิศให้การรถไฟสยามและความเจริญอื่น ๆ ของสยามไปโดยบังเอิญ ภาพยนตร์นี้น่าชมเสียจริง นับตั้งแต่เพียงเรื่องจุดยืนทางทัศนียภาพ และสิ่งอื่น ๆ ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องในการผลิต ต้องยกกิตติคุณและความชอบให้สำหรับงานแสนดีนี้ เยี่ยมจริง คืนนี้ จะฉายภาพยนตร์เรื่องนี้อีกที่โรงภาพยนตร์พัฒนาการและโรงภาพยนตร์ฮ่องกง และแน่นอนว่า เราขอแนะนำให้ท่านทั้งหลายที่ยังไม่ได้ไปดู จงไปดูกันเสีย"
ผู้กำกับหนังไทยที่มีความสำคัญต่อวงการภาพยนตร์

หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล


หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล (29 พฤศจิกายน 2485 - ) เป็นพระอนุวงศ์ลำดับที่ 43 ในลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทย (เป็นลำดับที่ 13 ในฝ่ายชาย)[1] รู้จักกันในนามลำลองว่า ท่านมุ้ย ทรงเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้เขียนบท และผู้อำนวยการผลิตภาพยนตร์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งองค์ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ

หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล

หม่อมน้อย.jpg

หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล หรือที่นิยมเรียกกันว่า หม่อมน้อย เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2496 เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้กำกับละครโทรทัศน์ และละครเวทีที่มีผลงานโดดเด่นแปลกใหม่และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคนหนึ่งของประเทศไทย ทั้งยังเป็นผู้เขียนบทและอาจารย์สอนวิชากำกับการแสดงและการแสดงในระดับสากล
หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพมีผลงานเรื่องแรกคือ เพลิงพิศวาส ของ สหมงคลฟิล์ม ที่ได้สร้างชื่อให้แก่ สินจัย เปล่งพานิช ถึง 26 ปี และห่างจากผลงานกำกับอันดากับฟ้าใส ที่ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม แสดงเป็นพระเอก ถึง 13 ปี และภาพยนตร์ ชั่วฟ้าดินสลาย เรื่องล่าสุด เป็นการกลับร่วมงานกับอีกครั้งระหว่างหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพกับ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
ผลงานกำกับภาพยนตร์ของหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพได้รับรางวัลหลายเรื่อง เช่น เพลิงพิศวาส (2527), ช่างมันฉันไม่แคร์ (2529), ฉันผู้ชายนะยะ (2530), นางนวล (2530), เผื่อใจไว้ให้กันสักหน่อย (2532), ความรักไม่มีชื่อ (2533), มหัศจรรย์แห่งรัก (2538) และ อันดากับฟ้าใส (2540)
ชีวิตส่วนตัว ยังเป็นโสด
ฉลอง ภักดีวิจิตร


ฉลอง ภักดีวิจิตร หรือชื่อจริงว่า บุญฉลอง ภักดีวิจิตร เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้กำกับละครโทรทัศน์ มีฉายาที่วงการภาพยนตร์ขนานนามให้คือ "เจ้าพ่อหนังแอ็คชั่น" มีผลงานกำกับภาพยนตร์ไทยอย่าง เรื่อง “ทอง 1” และ “ทอง 2” ฉลองได้นำเอา “ดาราฝรั่ง-ต่างชาติ” มาร่วมงาน เช่น เกรก มอริส-คริส ท็อฟ (ชายงาม ออสเตรีย)-แจน ไมเคิล วินเซนต์-คริสโตเฟอร์ มิทชั่ม-โอลิเวียร์ ฮัสซีย์ และ นางเอกหนังเวียดนาม เถิ่ม ถุย หั่ง
ทางด้านงานละคร ฉลองเป็นผู้บุกเบิก ละครแนวแอ็คชั่นทางช่อง 7 สี ของสุรางค์ เปรมปรีดิ์ คือ “ระย้า” นำแสดงโดยพีท ทองเจือ กับฉัตรมงคล บำเพ็ญ และยังมีผลงานกำกับละคร อย่าง ดาวคนละดวง อังกอร์ 1-2 เหล็กไหล ทอง 9 และ นักฆ่าขนตางอน ฉลอง ภักดีวิจิตร ได้รับยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้กำกับภาพยนตร์) ประจำปี พ.ศ. 2556

วันนี้เราก้อได้ความรู้ของวงการหนังไทยและนักแสดงไทยในอดีตแล้วอีกเรื่องก็คือผู้กำกับที่สำคัญๆของไทยเรา กับมาพบกันได้ใหม่กับ movies news






news world movies
มูฟวี่ นิวส์ วันนี้เจะมาเสนอหนังที่มีรายได้มากที่สุดตลอดกาล ที่กวาดรายได้จากทั่วโลกมาแล้ว และวันนี้เราก็มีประวัติผู้กำกับคนดัง ที่มีฉายาว่าพ่อมดแห่งฮอลลีวูดส์ และเป็นบิดาแห่งภาพยนตร์เลยก็ว่าได้ 

อันดับหนังที่ทำรายได้สูงสุดตลอดการ
1.อวตาร $2,787,965,087 ปี 2009
2.ไททานิก $2,186,772,302 ปี 1997
3.ดิ แอดเวนเจอร์ $1,518,594,910 ปี 2012
4.แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 $1,341,511,219 ปี 2011
5.ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ $1,279,852,693 ปี 2013
6.ไอรอนแมน 3 $1,215,439,994 ปี 2013
7.ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส 3 $1,123,794,079 ปี 2013
8.เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์: มหาสงครามชิงพิภพ $1,119,929,521 ปี 2003
9.พลิกรหัสพิฆาตพยัคฆ์ร้าย $1,108,561,013 ปี 2012
10.ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 4: มหาวิบัติยุคสูญพันธุ์ $1,087,489,076 ปี 2014
11.แบทแมน อัศวินรัตติกาลผงาด $1,084,439,099 ปี 2012
12.สงครามปีศาจโจรสลัดสยองโลก $1,066,179,725 ปี 2006
13.ทอย สตอรี่ 3 $1,063,171,911 ปี 2010
14.ผจญภัยล่าสายน้ำอมฤตสุดขอบโลก $1,045,713,802 ปี 2011
15.จูราสสิค พาร์ค กำเนิดใหม่ไดโนเสาร์ $1,029,153,882 ปี 1993
16.สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 1: ภัยซ่อนเร้น $1,027,044,677 ปี 1999
17.อลิซในแดนมหัศจรรย์ $1,025,467,110 ปี 2010
18.เดอะ ฮอบบิท: การผจญภัยสุดคาดคิด $1,017,003,568 ปี 2012
19.แบทแมน อัศวินรัตติกาล $1,004,558,444 ปี 2008
20.เดอะ ไลออนคิง $987,483,777 ปี 1994
21.แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ $974,755,371 ปี 2001
22.มิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัด 2 $970,761,885 ปี 2013
23.ผจญภัยล่าโจรสลัดสุดขอบโลก $963,420,425 ปี 2007
24.เดอะ ฮอบบิท: ดินแดนเปลี่ยวร้างของสม็อค $960,366,855 ปี 2013
25.แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1 $960,283,305 ปี 2010
26.เดอะ ฮอบบิท: สงครามห้าทัพ $955,119,788 ปี 2014
27.แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ $939,885,929 ปี 2007
28.นีโม...ปลาเล็กหัวใจโต๊...โต $936,743,261 ปี 2003
29.แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม $934,416,487 ปี 2009
30.เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์: ศึกหอคอยคู่กู้พิภพ $926,047,111 ปี 2002
31.เชร็ค 2 $919,838,758 ปี 2004
32.แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี $896,911,078 ปี 2005
33.สไปเดอร์แมน 3 $890,871,626 ปี 2007
34.ไอซ์ เอจ เจาะยุคน้ำแข็งมหัศจรรย์ 3 จ๊ะเอ๋ไดโนเสาร์ $886,686,817 ปี 2009
35.แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ $878,979,634 ปี 2002
36.ไอซ์ เอจ เจาะยุคน้ำแข็งมหัศจรรย์ 4 กำเนิดแผ่นดินใหม่ $877,244,782 ปี 2012
37.เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์: อภินิหารแหวนครองพิภพ $871,530,324 ปี 2001
38.เกมล่าเกม 2 แคชชิ่งไฟเออร์ $864,565,663 ปี 2013
39.สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 3: ซิธชำระแค้น $848,754,768 ปี 2005
40.ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส อภิมหาสงครามแค้น $836,303,693 ปี 2009
41.แวมไพร์ ทไวไลท์ 4 เบรกกิ้ง ดอว์น ภาค 2 $829,685,377 ปี 2012
42.จิตพิฆาตโลก $825,532,764 ปี 2010
43.สไปเดอร์แมน $821,708,551 ปี 2002
44.ไอดี 4 สงครามวันดับโลก $817,400,891 ปี 1996
45.เร็ว..แรงทะลุนรก 7 $800,522,000 ปี 2015
46.เชร็ค 3 $798,958,162 ปี 2007
47.แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน $796,688,549 ปี 2004
48.อี.ที. เพื่อนรัก $792,910,554 ปี 1982
49.2012 วันสิ้นโลก $791,217,826 ปี 2009
50.เร็ว..แรงทะลุนรก 6 $788,679,850 ปี 2013

ประวัติ สตีเว่น สปีลเบิร์ค พ่อมดแห่งฮอลลิวูดส์


สตีเวน สปีลเบิร์ก เกิดในซินซินเนติ โอไฮโอ ในครอบครัวชนชั้นกลาง ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่แคลิฟอร์เนีย สเตท, ลองบีช ซึ่งเขาไม่เคยเรียนวิชาภาพยนตร์จากมหาวิทยาเลย พออายุ 16 ปี ได้ทำงานกับบริษัทสร้างหนังในท้องถิ่นที่เมืองฟินิกซ์ รัฐแอริโซนาและก็ทำหนังวิทยาศาสตร์ (ไซไฟ) ความยาว 2 ชั่วโมง เรื่อง Firelight จากนั้น สปีลเบิร์กก็ทำภาพยนตร์สั้นเรื่อง Amblin ในปี พ.ศ. 2512 และได้ไปเสนอกับฝ่ายโทรทัศน์ของบริษัทยูนิเวอร์แซล จนได้งานทำภาพยนตร์สั้นออกมา 3 เรื่อง และหนึ่งในนั้นคือ Duel หนังเขย่าขวัญที่ทำให้สปีลเบิร์กแจ้งเกิด เพราะหนังได้รางวัลจากยุโรปแถมทำเงินอีกด้วย
ในปี 2518 ได้กำกับหนังเรื่อง จอว์ส จากนั้นอีก 2 ปี Close Encounter of the Third Kind ก็และปี 2524 กับหนังชื่อ อินเดียน่า โจนส์ โดยสร้างภาค 2 และภาค 3 ในปีหลังๆ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากและภาค 4 ในปี 2551 และในปี 2527 สปีลเบิร์กทำหนังเรื่อง E.T.The Extra-Terrestrial ความสัมพันธ์เพื่อนรักจากต่างดาวกับเด็กน้อย เป็นหนังทำเงินตลอดกาลอันดับ 1 ถึงวันนี้
นอกจากนี้สปีลเบิร์กยังทำหนังเครียดๆ อย่าง The Colour Purple (ชีวิตของหญิงผิวดำที่ถูกกดขี่), Empire of the Sun (เด็กในสงครามโลกครั้งที่ 2) และ Schindler list (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว)
ทางด้านชีวิตส่วนตัว เขาแต่งงาน 2 ครั้ง คนแรกกับอามี่ ไอร์วิ่ง แล้วหย่ากัน คนที่สองชื่อ เคท แคปชอว์ นางเอกอินเดียน่า โจนส์ ภาค 2 มีลูก 5 คน คือ แม็กซ์ ซาซ่า ซอว์เยอร์ ธีโอ และลูกบุญธรรมคือเจสสิก้า


สตีเว่น เป็นคนแรกที่สามารถทำเอฟเฟคที่ล้ำสมัยในขณะนั้น เรื่องแรกที่เขาทำคือ จูราสสิค พาร์ค ที่เขาสามารถออกแบบไดโนเสาร์ที่น่าอัศจรรย์ เหมือนกับได้กลับไปในยุคนั้นอีก โดยได้สร้าง ทีเร็ก ที่เท่าขนาดจริง และยังมีด้านซีจี ที่ในขณะนั้น เป็นเรื่องยากมากเพราะในยุคนั้นมีน้อยมากที่มีการทำเอฟเฟค จึงทำให้เขาได้รับฉายาว่าเป็นพ่อมดแห่งฮอลลิวู้ด ที่ทำให้ทั้งโลกได้รู้จักเขาในบิดาแห่ง ภาพยนตร์ เขายังมีผลงานในเรื่องอินเดียน่าโจนส์ทั้งสี่ภาคอีกด้วย ทั้งนี้ สตีเฟ่น ยังได้รับรางวัลออสก้าถึง 3 ตัวด้วยกัน


เป็นหนังที่เราคุ้นเคยหรือหนังอันโด่งดัง ที่เราจะได้รู้ว่า เบื้องหลังงานสร้างสรรค์เหล่านี้ทำกันอย่างไร โดยที่สมัยนั้นอาจมีเทคโนโลยีไม่เท่าสมัยนี้แต่ก็ทำออกมาได้สมจริง

เรื่องแรกเลยภาพจากไททานิค โดยเจมส์ คาเมร่อน ใช้สระกับอ่างลมยางมาใช้ในการถ่ายทำเพื่อทำเป็นทะเล


และเรื่องที่สอง สตาร์ วอร์ ภาคเก่า เป็นการใช้โมเดลแล้วมาทำ stop motion

เรื่องที่สามกับงานของสตีเว่น สปีลเบิร์ค ที่ใช้ stop motion เข้ามาช่ววยกับการทำทีเร็คเท่าขนาดจริงมา

กับเรื่องสุดท้ายที่ใครๆ  ก็ต้องเคยดูแน่นอนอย่าง ดิ แอดเวนเจอร์ ที่ใช้ภาพกราฟิกช่วยในการถ่ายทำโดยให้นักแสดงเป็น เดอะ ฮัค สวมชุดยาง

วันนี้ก็ได้รับสาระ ความรู้กันไปแล้วมาพบกันใหม่ นะครับกับ movie news